ข้อมูลพื้นฐานโครงการ
โครงการศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง ตามในวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ เป็นโครงการที่มีลักษณะโครงการประเภทกิจกรรมเป็นศูนย์วิจัยกึ่งการเรียนรู้ โดยนอกเหนือจากการทำค้นคว้าวิจัยแล้ว ยังมีส่วนจัดแสดงเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เนื่องด้วยโครงการประเภทนี้ยังมีจำนวนไม่มากนัก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานโครงการ จากอาคารตัวอย่างทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพื่อนำมาเป็นกรณีศึกษา โดยได้ทำการรวบรวมข้อมูลพื้นฐานโครงการเหล่านั้น มาเปรียบเทียบข้อได้เปรียบเสียเปรียบ ปัญหาและวิธีแก้ปัญหา และสรุปปัจจัยต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดแนวความคิดโครงการและการจัดทำรายละเอียดโครงการ
โดยมีขอบเขตการศึกษาข้อมูลพื้นฐานโครงการในประเด็นต่างๆ ดังนี้
2.1ข้อมูลพื้นฐานด้านหน้าที่ใช้สอย
2.2ข้อมูลพื้นฐานด้านรูปแบบ
2.3ข้อมูลพื้นฐานด้านเศรษฐศาสตร์
2.4ข้อมูลพื้นฐานด้านเทคโนโลยี
2.1 ข้อมูลพื้นฐานด้านหน้าที่ใช้สอย
ข้อมูลพื้นฐานด้านหน้าที่ใช้สอยจัดเป็นข้อมูลหลักของโครงการที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ของกลุ่มเป้าหมายระดับต่างๆ ของโครงการกับตัวโครงการ รวมถึงกิจกรรมต่างๆ และตารางเวลาที่เกิดขึ้นภายในโครงการ โดยข้อมูลพื้นฐานด้านหน้าที่ใช้สอยประกอบไปด้วย
2.1.1 ผู้ใช้โครงการ
1.โครงสร้างโครงการ
จากการศึกษาวิเคราะห์การจัดระบบโครงสร้าง ของโครงการประเภทศูนย์วิจัย ซึ่งอยู่ภายใต้การรับผิดชอบของภาครัฐ จะมีการจัดระบบโครงสร้างองค์กรที่ใกล้เคียงกัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการจัดระบบการบริหารงานราชการเป็นหลัก บุคคลฝ่ายต่างๆ ภายในโครงการจะเป็นบุคคลากรที่ได้จากการจัดสรรของรัฐตามกำลังงบประมาณ โดยมีหลักเกณฑ์การพิจารณาตามวัตถุประสงค์ของโครงการนั้นๆ
รูปภาพที่ 2.1 แสดงผังโครงสร้างองค์กร
2.ปริมาณผู้ใช้โครงการ
จากการศึกษารายระเอียดด้านกลุ่มเป้าหมายโครงการ พิจารณาควบคู่กับการศึกษาข้อมูล สามารถแบ่งกลุ่มผู้ใช้โครงการได้ 3 กลุ่ม ดังนี้
1.)กลุ่มผู้ใช้โครงการหลัก ได้แก่ นักวิจัย 70 คน (อ้างอิงจากบทที่ 1)
2.)กลุ่มผู้ใช้โครงการรอง ได้แก่ นักเรียน
3.)กลุ่มผู้บริหารและพนักงาน
กลุ่มผู้ใช้โครงการหลัก
กลุ่มผู้ใช้โครงการหลักคือนักวิจัย นักวิชาการ แต่ละโครงการจำเป็นต้องตั้งปริมาณผู้ใช้โครงการเพื่อเป็นการวางแผนในแง่ความเป็นไปได้ของโครงการ
จากการการศึกษากรณีศึกษา(Case study) จำนวนนักวิจัยที่เข้ามาใช้มากที่สุดใน 1 วัน มีจำนวนกลุ่มผู้ที่เข้ามาศึกษาและวิจัยเป็นจำนวน 40 คน (จากตัวอย่างโครงการใกล้เคียงคือ ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม) โดยโครงการเราได้กำหนดให้มีการรับนักวิจัยเข้ามาเพียง 7 %
อัตราการเพิ่มของนักวิจัยต่อปี = 7 x 40/100 = 3 คน
อัตราการเพิ่มของนักวิจัย 10 ปี = 3 x 10 = 30 คน
ดังนั้น จึงมีจำนวนนักวิจัยในโครงการทั้งหมด = 40+30 = 70 คน
กลุ่มผู้บริหารและพนักงาน
คือกลุ่มบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับโครงการในแง่ของการบริหารโครงการ และบริการแก่กลุ่มผู้ที่มาใช้โครงการหลัก และผู้ใช้โครงการรอง โดยมีรายละเอียดของกลุ่มผู้บริหารและพนักงาน ดังนี้
ตารางที่2.1 แสดงจำนวนผู้ใช้โครงการหลัก
ตำแหน่ง
|
หน้าที่
|
จำนวนบุคลากร
|
1.คณะกรรมการบริหาร
| ||
ผู้อำนวยการ
|
ควบคุมพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งหมด
|
1
|
รองผู้อำนวยการ
|
เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ
|
1
|
1.2 ฝ่ายบริหาร
| ||
หัวหน้าฝ่ายบริหาร
|
ควบคุมการบริหารโครงการ
|
1
|
เจ้าหน้าที่บริหารงานธุรการ
|
ดำเนินการบริหารโครงการ
|
1
|
พนักงานธุรการ
|
ดูแลการเงิน งบประมาณโครงการ
|
2
|
นักวิชาการสิ่งแวดล้อม
|
ให้ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม
|
2
|
นายช่างเทคนิค
|
ซ่อมบำรุง
|
1
|
พนักงานเอกสาร
|
รวบรวมข้อมูล
|
1
|
1.3 ฝ่ายอาคารและสถานที่
| ||
หัวหน้าฝ่ายอาคารและสถานที่
|
ควบคุมการทำงานของพนักงาน
|
1
|
เจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุง
|
ซ่อมบำรุงเครื่องมือและอาคาร
|
1
|
พนักงานธุรการ
|
ควบคุมงบประมาณ
|
1
|
พนักงานเอกสาร
|
รวบรวมข้อมูล
|
1
|
1.4 ฝ่ายประชาสัมพันธ์
| ||
หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์
|
ควบคุม วางแผนการประชาสัมพันธ์
|
1
|
นักวิชาการสิ่งแวดล้อม
|
ให้ข้อมูลแก้ฝ่ายประชาสัมพันธ์
|
2
|
พนักงานโทรศัพท์
|
ติดต่อประสานงาน
|
1
|
1.5 ฝ่ายพัฒนาวิชาการ
| ||
หัวหน้าฝ่ายวิชาการ
|
ควบคุมและวางแผนงาน
|
1
|
นักวิชาการสิ่งแวดล้อม
|
สรุป ประมวลผลงานวิจัย
|
2
|
พนักงานเอกสาร
|
1
| |
1.6ฝ่ายนิทรรศการ
| ||
หัวหน้าฝ่ายนิทรรศการ
|
ควบคุมการทำงานและวางแผน
|
1
|
เจ้าหน้าที่นิทรรศการ
|
วางแผนและดำเนินงานจัดแสดง
|
3
|
เจ้าหน้าที่ข้อมูล
|
จัดเตรียมข้อมูลในการจัดแสดง
|
1
|
เจ้าหน้าที่วางแผน
|
วางแผนการจัดแสดง
|
2
|
2.ฝ่ายวิจัย
| ||
ผู้ช่วย ผอ.ส่วนวิจัยด้านน้ำ
|
วางแผน และดำเนินการงานวิจัย
|
1
|
นักวิชาการสิ่งแวดล้อม
|
ทำงานวิจัย
|
5
|
เจ้าพนักงานวิทยาศาสตร์
|
ทำงานวิจัย
|
2
|
เจ้าหน้าที่ธุรการ
|
ควบคุมงบประมาณ
|
1
|
ผู้ช่วย ผอ.ส่วนวิจัยด้านอากาศ
|
วางแผน และดำเนินการงานวิจัย
|
1
|
นักวิชาการสิ่งแวดล้อม
|
ทำงานวิจัย
|
5
|
พนักงานห้องปฏิบัติการ
|
ทำงานวิจัย
|
1
|
เจ้าหน้าที่ธุรการ
|
ควบคุมงบประมาณ
|
1
|
ผู้ช่วย ผอ.ส่วนวิจัยด้านสารพิษ
|
วางแผน และดำเนินการงานวิจัย
|
1
|
นักวิชาการสิ่งแวดล้อม
|
ทำงานวิจัย
|
5
|
เจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์
|
ทำงานวิจัย
|
2
|
พนักงานธุรการ
|
ควบคุมงบประมาณ
|
1
|
พนักงานห้องปฏิบัติการ
|
ทำงานวิจัย
|
1
|
เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล
|
สรุปผล รวบรวมข้อมูล
|
1
|
ผู้ช่วย ผอ.ส่วนวิจัยด้านของเสีย
|
วางแผน และดำเนินการงานวิจัย
|
1
|
นักวิชาการสิ่งแวดส้อม
|
ทำงานวิจัย
|
3
|
ผู้ช่วย ผอ.ส่วนวิจัยด้านเสียง
|
วางแผน และดำเนินการงานวิจัย
|
1
|
นักวิชาการสิ่งแวดล้อม
|
ทำงานวิจัย
|
3
|
พนักงานเอกสาร
|
สรุปผล รวบรวมข้อมูล
|
1
|
รวมเจ้าหน้าที่ในโครงการ
|
66
|
ลักษณะผู้ใช้โครงการ
ในการพิจารณาในส่วนของกลุ่มผู้เข้าใช้โครงการศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อม สามารถแบ่งออกได้ 3 กลุ่ม คือ
-กลุ่มผู้ใช้โครงการหลัก ได้แก่ นักวิจัย 70 คน (อ้างอิงจากบทที่ 1)
-กลุ่มผู้ใช้โครงการรอง ได้แก่ นักเรียน
-กลุ่มผู้บริหารและพนักงาน
โดยกลุ่มผู้ใช้โครงการแต่ละกลุ่มจะลักษณะเฉพาะตัวในส่วนของกายภาพ สังคม ความรู้สึก ประสบการณ์ โดยสามารถแบ่งกลุ่มผู้ใช้โครงการทั้ง 3 กลุ่มออกมาตามลักษณะของผู้ใช้ได้3 ด้าน คือ ทางกายภาพ ทางจิตวิทยา และสังคม ดังนี้
1.ทางด้านกายภาพ
คือ ลักษณะทางด้านร่างกายของผู้ใช้โครงการกลุ่มต่างๆ ซึ่งมีความต้องการทางกายภาพที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
กลุ่มนักวิจัย นักวิชาการ จะเป็นกลุ่มที่มีช่วงอายุระหว่าง 25-60 ปี โดยเดินทางมายังโครงการและเริ่มปฏิบัติงานตามทำการของโครงการ คือ ตั้งแต่ 08.00 – 16.30 น. ซึ่งงานด้านการวิจัยจะมีการทำงานล่วงเวลาบ้างและการเดินทางมายังโครงการมีลักษณะเดินทางมาโดยรถยนต์ส่วนตัว รถประจำทาง ดังนั้นการออกแบบที่จอดรถควรจะแยกออกจากที่จอดรถสาธารณะ เพื่อความสะดวกและเรียบร้อยในโครงการ
-กลุ่มนักเรียน โดยมากมีจุดประสงค์ของการเข้าชมเพื่อทัศนศึกษา ซึ่งทางโรงเรียนจะจัดมาเป็นกลุ่ม หรืออาจเป็นกลุ่มที่ร่วมมือกับหน่วยงายอื่นๆ ผู้ใช้โครงการกลุ่มนี้จะใช้เวลาเข้าชมโครงการค่อนข้างยาวนานและในการเข้าชมนั้นจะอยู่ภายใต้การดูแลของอาจารย์ ดังนั้นโครงการจึงควรมีพื้นที่เข้ามาชม หรือจุดรวมคนภายในโครงการเพื่อให้มีความสะดวกในการควบคุม
2.ทางด้านจิตวิทยา
-กลุ่มนักวิจัย นักวิชาการ จะเน้นทางด้านการค้นคว้าวิจัยและทำการปฏิบัติการในส่วนของการวิจัยอย่างละเอียด ในส่วนของของการจัดแสดงกลุ่มผู้ใช้กลุ่มนี้จะไม่ค่อยคำนึงถึงการจัดแสดง แต่อย่างใด จะเน้นในเรื่องของเนื้อหาในการจัดแสดงเป็นสำคัญ ดังนั้นในการรับรู้ข้อมูลสิ่งที่จัดแสดงจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีความรู้และประสบการณ์โดยตรง กลุ่มนี้จึงมีผลต่อการค้นคว้าวิจัยเป็นอย่างมาก
-กลุ่มนักเรียน ในการเข้าชมกลุ่มนี้ต้องการความเพลิดเพลินในการรับรู้ โดยมาจะเดินทางมากับโรงเรียนเป็นกลุ่ม การจัดแสดงข้อมูลจึงต้องคำนึงถึงการจัดแสดงทำความเข้าใจได้ง่าย มีความน่าสนใจ น่าติดตาม โดยจะมีอายุระหว่าง 12-18 ปีต้องการการเรียนรู้จดจำ อยากรู้อยากเห็น ดั้งนั้นโครงการจึงควรออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้มีความน่าสนใจทั้งแสง สี ขนาดที่ว่าง ทางสัญจรที่น่าสนใจ เพื่อให้เกิดการรับรู้ในการเข้าชมที่ดี
3.ทางด้านสังคม
ระดับสังคมที่แตกต่างกันทำให้มีความต้องการที่ต่างกัน พฤติกรรมการใช้สอยพื้นที่ที่แตกต่างกัน การออกแบบจึงต้องมีความแตกต่างตามกลุ่มผู้ใช้อาคาร ดังนี้
-นักวิจัย นักวิชาการ ผู้ใช้โครงการกลุ่มนี้ จะมีการศึกษาที่ดี มีความเชี่ยวชาญด้านวิชาการสูง มีศักยภาพทางการเงินที่สูง ต้องกาสมาธิในการทำงาน ใช้ชีวิตอย่างมีหลักการเสมอ
-นักเรียน มีอายุระหว่าง 12-18 ปี อยู่ในช่วงของการเรียนรู้ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ต้องการความเพลิดเพลินในการค้นคว้า ความคิดและการเงินไม่ค่อยมีความแตกต่างกันมากนัก
พื้นฐานข้อมูลเบื้องต้นที่กล่าวมาสามารถนำไปใช้ในการกำหนดแนวคิดสำหรับผู้ใช้โครงการแต่ละกลุ่มให้มีความเหมาะสม โดยนำมาวิเคราะห์แยกตามกิจกรรมหลัก ปริมาณผู้ใช้ และจากลักษณะของผู้ใช้ได้
2.1.2 กิจกรรม
เป็นการศึกษาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับกิจกรรม ลักษณะของกิจกรรม และรูปแบบพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในโครงการ การตอบสนองพฤติกรรม รวมถึงช่วงเวลาและความถี่ของกิจกรรมนั้นๆ ภายในโครงการ ลักษณะกิจกรรมของผู้ใช้ภายในโครงการจะมีความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้ใช้โครงการ ดังนี้
1.ประเภทของกิจกรรม
2.พฤติกรรมและสภาพแวดล้อมของกิจกรรม
1. ประเภทของกิจกรรม
ประเภทกิจกรรม
|
ผู้ร่วมกิจกรรม
|
จำนวนผู้ใช้
|
บริเวณที่มีกิจกรรม
|
ความถี่
|
ระยะเวลา
|
การวิจัย
|
นักวิจัย
ผู้ช่วย
|
70
|
ส่วนวิจัย
|
ตลอดวัน
|
8ชั่วโมง
|
นิทรรศการ
|
นักเรียน
|
70
|
ส่วนจัดแสดงงาน
|
1ครั้ง/วัน
|
8ชั่วโมง
|
สัมมนา
|
นักเรียน
นักวิชาการ
|
150
|
ห้องสัมมนา
|
1ครั้ง/วัน
|
2-3ชั่วโมง
|
บริการอาคาร
|
เจ้าหน้าที่อาคาร
|
30
|
ส่วนบริการอาคาร
|
ตลอดวัน
|
8ชั่วโมง
|
บริหาร
|
เจ้าหน้าที่บริหาร
|
23
|
ส่วนบริหาร
|
ตลอดวัน
|
8ชั่วโมง
|
ทานอาหารพักผ่อน
|
ทุกคน
|
193
|
ส่วนกลาง
|
1-2ครั้ง/วัน
|
1 ชั่วโมง
|
ประเมินผลงานวิจัย
|
เจ้าหน้าที่ประเมิน
|
2
|
ส่วนประเมิน
|
1ครั้ง/วัน
|
3ชั่วโมง
|
-ปฏิบัติการวิจัยค้นคว้า จำเป็นต้องใช้สมาธิในการทำงาน เงียบสงบ อำนวยต่อการทำงาน ระบายอากาศได้ดีไม่แออัด มีมุมมองที่ดี
-แสดงนิทรรศการ ควรจะมีแสงและเสียงที่น่าสนใจ มีทางสัญจรที่ดี สอดคล้องกับการนำเสนองาน
-การจัดสัมมนา การออกแบบที่ว่างต้องมีความสะดวกในการทำงานร่วมกัน ไม่มีเสียงรบกวน มีแสงเพียงพอ
-การรับประทานอาหาร ต้องคำนึงถึงความสะอาดเป็นสำคัญ ระบายอากาศ มีการเข้าบริการที่ง่าย
2. ตารางเวลา
ลักษณะของการวิเคราะห์ข้อมูลของโครงการโดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้เวลาในแต่ละส่วนต่างๆของภายในโครงการกับลักษณะของการดำเนินกิจกรรมภายในโครงการโดยเปรียบเทียบกับเวลาการใช้งานของโครงการต่างๆในกรณีศึกษาโครงการเป็นข้อกำหนดให้ผู้ออกแบบได้พิจารณาถึงการแยกองค์ประกอบดังกล่าวให้มีการเข้าออกในช่วงที่ปิดทำการโครงการนอกจากนี้ยังมีผลต่อการกำหนดระบบเทคโนโลยีอาคารโดยลักษณะตารางเวลาที่ทำการวิเคราะห์ความสัมพันธ์
-แสดงรายละเอียดเวลาในการดำเนินกิจกรรมต่างๆภายในโครงการแยกตามแต่ละองค์ประกอบของโครงการ ภายในหนึ่งสัปดาห์
-แสดงรายละเอียดเวลาในการดำเนินกิจกรรมต่างๆภายในโครงการแยกตามแต่ละองค์ประกอบของโครงการ ภายในหนึ่งวัน
2.2 ข้อมูลพื้นฐานทางด้านรูปแบบ (FORM FACT)
ศึกษาข้อมูลทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับที่ตั้ง สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งของโครงการ รวมไปถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของโครงการ ที่เป็นปัจจัยในการออกแบบผลทางสุนทรียภาพ และจิตวิทยาของผู้ใช้
2.2.1 ที่ตั้ง(Site) และสภาพแวดล้อม(Environment)
2.2.2 จินตภาพ(Image)
2.2.1ที่ตั้ง(Site) และสภาพแวดล้อม (Environment)
ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวกับที่ตั้ง และสภาพแวดล้อมของโครงการที่นำมาใช้ในการเลือกที่ตั้งโครงการ(Criteria for Site Selection) โดยอ้างอิงจากโครงการที่เป็นกรณีศึกษา โดยโครงการศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อม มีหลักเกณฑ์ และหัวข้อในการพิจารณา ดังนี้
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่ตั้ง
|
ระดับความสำคัญต่อการเลือกที่ตั้งโครงการ
| |||||
มากที่สุด
|
มาก
|
ปานกลาง
|
น้อย
|
น้อยที่สุด
|
ไม่มี
| |
ราคาที่ดิน
|
*
| |||||
การใช้ที่ดิน
|
*
| |||||
โครงสร้างบริการสาธารณะพื้นฐาน
|
*
| |||||
ความสะดวกในการเข้าถึง
|
*
| |||||
การคมนาคม และสภาพการจราจร
|
*
| |||||
ลักษณะประชากร
|
*
| |||||
ความปลอดภัย
|
*
| |||||
ความเหมาะสมของประเภทอาคาร
|
*
| |||||
การมองเห็นที่ตั้งและลักษณะเชื้อเชิญ
|
*
| |||||
ทิวทัศน์
|
*
| |||||
ความสัมพันธ์โครงการที่เกี่ยวข้อง
|
*
| |||||
แนวโน้มการได้รับประโยชน์จากระบบขนส่งมวลชน
|
*
| |||||
การขยายตัวโครงการ
|
*
| |||||
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน
|
*
| |||||
แนวโน้มการขยายตัวของชุมชนข้างเคียง
|
*
|
2.2.2จินตภาพ(Image)
การศึกษาข้อมูลของลักษณะภายนอกและ ภายในที่ปรากฏออกมาในงานสถาปัตยกรรม ไม่ว่าจะเป็นทางด้านรูปทรง สี องค์วัสดุ หรือประกอบอื่นๆที่มองเห็นแล้วก็ให้เกิดจินตภาพที่สอดคล้องกับแนวความคิดของโครงการ โดยโครงการศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อม ได้ทำการศึกษาทางด้านจินตภาพของโครงการที่สอดคล้องกับลักษณะของโครงที่เป็นสถาบันทางการศึกษา โดยอ้างอิงถึงโครงการประเทศต่างๆที่มีคุณภาพทางด้านจินตภาพโครงการ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโครงการศูนย์วิจัยกล้วยไม้ เพื่อการส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยมีหัวข้อรายละเอียดในการพิจารณา ดังนี้
1.จินตภาพภายนอก
2.จินตภาพภายใน
1)จินตภาพภายนอก
ศึกษาภาพรวมที่ปรากฏอยู่ภายนอกของงานสถาปัตยกรรมของอาคารที่เป็นกรณีศึกษา เพื่อให้ทราบถึงหลักเกณฑ์ แนวความคิด วิธีการจัดการ และวิธีการออกแบบให้ได้ตามแนวความคิดที่วางไว้ โดยมีรายละเอียดย่อยในการพิจารณาดังนี้
- รูปร่างและรูปทรง
- ลักษณะ
สถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงการอยู่รวมกับธรรมชาติ และบ่งบอกความเป็นโครงการ ทั้ง ในส่วนของรูปทรง พื้นที่ว่าง วัสดุและองค์ประกอบ การสร้างภาพลักษณ์เฉพาะตัวให้แก่งานสถาปัตยกรรม
-รูปแบบ
เป็นโครงการที่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่เรียบง่าย ผสมผสานกับความเป็นธรรมชาติกับบริบทโดยรอบ
-สัดส่วน จังหวะ และลำดับ
โครงการที่มีสัดส่วนของอาคารที่สวยงาม สามารถบอกความสำคัญของแต่ละการใช้ประโยชน์ใช้สอยภายในโครงการได้อย่างชัดเจน อีกทั้งการใช้องค์ประกอบต่างๆที่เห็นได้จากภายนอก เป็นตัวกำหนดจังหวะ และลำดับของตัวงานสถาปัตยกรรมซึ่งมีผลต่อมุมมองจากภายนอกสู่ตัวอาคาร
-สภาพแวดล้อมโครงการ
โครงการที่มีสภาพแวดล้อมที่สวยงาม โดยเฉพาะการออกแบบอาคารโดยการใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสมก็จะทำให้อาคารโครงการเกิด
ความประหยัดในด้านก่อสร้าง และสามารถใช้สภาพแวดล้อมมาเสริมสร้างภาพ ลักษณ์โครงการให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
รูปภาพที่ 2.2 แสดงจินตภาพภายนอกโครงการ
2)จินตภาพภายใน(Internal Image)
การศึกษาถึงลักษณะจินตภาพภายในของโครงการที่เป็นกรณีศึกษา ซึ่งนำมาใช้เป็นแนวทางในการออกแบบพื้นที่ว่างของโครงการศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อมโดยมีรายละเอียดในการพิจารณาจินตภาพภายในโครงการ ดังนี้
- ลักษณะและคุณภาพของพื้นที่ว่าง
โครงการที่มีลักษณะและคุณภาพของพื้นที่ว่างที่สามารถสื่อภาพลักษณ์ของโครงการออกมาได้ดี โดยเฉพาะในการเชื่อมพื้นที่ว่างภายในแต่ละส่วนของอาคาร การเชื่อมต่อพื้นที่ว่างภายในและภายนอกอาคาร ตลอดจนพื้นที่ว่างที่เป็นพื้นที่ว่างหลักของโครงการนั้นต่างมีลักษณะที่โดดเด่น และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่โครงการ
รูปภาพที่ 2.3 แสดงการใช้แสงภายในอาคาร
ที่มา : http://www.archdaily.com/198318/ceig-testing-assessment-research-center-lycs-architecture/
2.3 ข้อมูลพื้นฐานด้านเศรษฐศาสตร์
ศึกษาข้อมูลด้านเศรษฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ ซึ่งมีผลกระทบในด้านความเป็นไปได้ของโครงการในระยะแรก และมีผลต่อคุณภาพของอาคาร รูปแบบอาคาร ขนาดพื้นที่ใช้สอย วัสดุ ซึ่งเป็นตัวกำหนดลักษณะโครงการในทุกๆด้าน
2.3.1.การลงทุนของโครงการ
2.3.2.ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
2.3.1การลงทุนของโครงการ
จากการศึกษาและการวิเคราะห์จะพบว่าโครงการเพื่อการศึกษา และการแสดงงาน เป็นโครงการที่มีต้นทุนสูง เนื่องจากเป็นโครงการที่มีการนำเข้าถึงเทคโนโลยีที่นำสมัยและเป็นหัวข้อที่นำมาพิจารณา แต่ในหัวข้อนี้สามารถแบ่งหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเพื่อความละเอียด และชัดเจนยิ่งขึ้นได้ดังนี้
1)แหล่งที่มาของเงินทุน
2)งบประมาณการลงทุน
3)ค่าก่อสร้าง
4)ค่าใช้จ่าย
1)แหล่งที่มาของเงินทุน
เนื่องจาก โครงการ ศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อมเป็นโครงการของภาครัฐ อยู่ภายใต้การดูแลของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และจากกรณีศึกษาของโครงการประเภทศูนย์วิจัยของรัฐ จะมีงบประมาณและเงินทุนสนับสนุนจากรัฐเป็นหลักโดยอาจมีการร่วมมือสนับสนุนกันระหว่างธนาคาร
2)งบประมาณการลงทุน
ในส่วนของงบประมาณการาลงทุนมีการแบ่งเป็นหัวข้องบประมาณการก่อสร้างเป็นรายละเอียด ดังนี้
งบประมาณทั้งหมด
ค่าที่ดินโครงการและพัฒนาที่ดิน คิดเป็น 5% ของราคาที่ดิน
ค่าก่อสร้าง
-ค่าก่อสร้างภายนอกและงานภายนอก คิดเป็น 2% ของค่าก่อสร้าง
-ค่าจัดสวนคิดเป็นตารางเมตรละประมาณ 10,000บาท ต่อตารางเมตร
-ค่าตกแต่งภายใน คิดเป็น 30% ของค่าก่อสร้าง
-ค่าระบบสาธารณูปโภค-สาธารณูปการ คิดเป็น 7.5% ของค่าก่อสร้าง
-ค่าธรรมเนียมการออกแบบ และควบคุมงาน คิดเป็น 15% ของค่าก่อสร้าง
-ค่าใช้จ่ายก่อนเปิดดำเนินการเป็นเงินหมุนเวียน คิดเป็น 1% ของค่าก่อสร้าง
3)ค่าก่อสร้าง
จากการศึกษาจากกรณีศึกษา โครงการศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าวจะพบว่า
งบประมาณโครงการประมาณ 267 ล้านบาท
ค่าก่อสร้างโครงการประมาณ 240 ล้านบาท
พื้นที่โครงการทั้งหมด 12,000 ตารางเมตร
จากการศึกษากรณีโครงการศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าว แล้วคำนวณตามงบประมาณการลงทุนจะพบว่า
งบประมาณโครงการ 22,250 บาทต่อตารางเมตร
ค่าก่อสร้าง 20,000 บาทต่อตารางเมตร
ค่าจัดสวน 10,000 บาท ต่อตารางเมตร
ค่าตกแต่งภายใน 25,000,000 บาท
ค่าระบบสาธารณูปโภค-สาธารณูปการ 2,000,000 บาท
ค่าธรรมเนียมการออกแบบ และควบคุมงาน 4,050,000 บาท
ค่าใช้จ่ายก่อนเปิดดำเนินการเป็นเงินหมุนเวียน 270,000 บาท
ซึ่งจากการคำนวณดังกล่าวจะใช้เป็นตัวอย่างกรณีศึกษาในการคำนวณ หางบประมาณการลงทุน
4)ค่าใช้จ่าย
จากการศึกษากรณีศึกษาจะพบว่าค่าใช้จ่ายของโครงการสามารถแบ่งค่าใช้จ่ายได้เป็น
-ค่าใช้จ่ายก่อนเปิดดำเนินการ
ค่าใช้จ่ายส่วนนี้พบว่าสามารถเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องของการก่อสร้างโครงการทั้งหมด ในช่วงเวลานี้ โครงการยังไม่มีรายรับเพราะโครงการประเภทนี้จะเริ่มมีรายรับหลังจากที่เปิดดำเนินการแล้ว
-ค่าใช้จ่ายหลังเปิดดำเนินการ
ค่าใช้จ่ายในส่วนของหลังการเปิดทำการโครงการ สามารถแบ่งออกได้เป็น
รายรับ ประกอบด้วย ค่าเข้าอบรมสัมมนา ส่วนแสดงงาน ค่าเช่าส่วนห้องประชุม
รายจ่าย ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในด้านบริหาร ได้แก่ เงินเดือนพนักงาน ค่าใช้จ่ายรายเดือนด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ และด้านการประชาสัมพันธ์สถาบัน ค่าบำรุงรักษาเครื่องมือ อุปกรณ์ และค่าประกันต่างที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน
2.4 ข้อมูลพื้นฐานด้านเทคโนโลยี(Technology Facts)
2.4.1.ด้านพลังงาน
2.4.2.ด้านระบบระบายอากาศ
2.4.3.ด้านระบบรักษาความปลอดภัย(Security Management)
2.4.4.ระบบบริหารความปลอดภัยของผู้ใช้งาน(Occupant Safety Management
)
2.4.5.ระบบบริหารสายสัญญาณ ( Cable Management)
2.4.6.ด้านระบบโครงสร้างอาคาร
2.4.7.ด้านระบบวัสดุอาคาร
2.4.1.ด้านพลังงาน
ทำหน้าที่วางแผนและควบคุมการใช้พลังงานของอาคารที่ได้มาจากพลังงานแสงอาทิตย์และระบบอิเล็กโทรนิกที่ช่วยควบคุมพลังงานภายในอาคาร
เช่น ระบบแสงสว่างเปิด-ปิด อัตโนมัติ โดยจะบริหารให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ให้เสียค่าใช้จ่ายต่ำสุด
2.4.2.ด้านระบบระบายอากาศ
ทำหน้าที่ระบายอากาศเสียหรือควันพิษที่เกิดจากการทดลอง
และการระบายความร้อนที่เกิดขึ้นภายในอาคาร โดยใช้เทคโนโลยีการดูดควันและอากาศออกจากตัวอาคาร
2.4.3.ด้านระบบรักษาความปลอดภัย(Security Management)
ทำหน้าที่ตรวจตรา และตรวจสอบ การเข้า-ออกอาคารของบุคคลประเภทต่างๆ
โดยใช้อุปกรณ์ ตั้งแต่ ระบบควบคุมทางเข้า-ออก (Access
Control) ,อุปกรณ์ตรวจสอบความร้อน ,กล้องวงจรปิด,ระบบตรวจสอบการเคลื่อนไหวฯลฯ โดยจะต่อสัญญาณเข้ากับอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยส่วนกลาง
ซึ่งควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์
2.4.4.ระบบบริหารความปลอดภัยของผู้ใช้งาน(Occupant Safety Management
)
ทำหน้าที่ควบคุมระบบแจ้งเตือนไฟไหม้
ระบบดับเพลิง ระบบอัดอากาศ และระบายควัน โดยการทำงานจะประสานกันทั้งหมด เพื่อให้ระบบการป้องกันภัยมีประสิทธิภาพสูงสุด
2.4.5.ระบบบริหารสายสัญญาณ ( Cable Management)
สายสัญญาณเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ
ซึ่งการวางระบบสายสัญญาณจะไม่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่จะเกิดขึ้นค่อยเป็นค่อยไปในระหว่างการใช้อาคารซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนชนิดและตำแหน่งของอุปกรณ์
เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาในอาคาร ซึ่งจะใช้โปรแกรมเก็บข้อมูลการวางสายสัญญาณของอาคารทั้งหมด
เพื่อช่วยในการวางแผน แก้ไขเพิ่มเติมสายสัญญาณต่างๆ ในอนาคต
2.4.6.ด้านระบบโครงสร้างอาคาร
ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับงานระบบอาคารงานระบบภายในอาคาร
การกำหนดชนิดประเภทความสามารถในการทำงานตลอดจนประสิทธิภาพต่างๆและระบบอื่นๆที่มีความจำเป็นต่อโครงการ
โดยระบบภายในอาคารทั่วไปของโครงการ มีดังนี้
1)ระบบโครงสร้างอาคาร (Structure)
2)ระบบปรับอากาศ(Air-Conditioning)
3)ระบบสุขาภิบาล(Sanitary)
4)ระบบไฟฟ้ากำลัง(Electricity)
5)ระบบไฟฟ้าฉุกเฉิน(Emergency
System)
6)ระบบป้องกันฟ้าผ่า(Lighting
Protection System)
7)ระบบสื่อสารโทรคมนาคม(Communication)
8)ระบบป้องกันอัคคีภัยและระบบดับเพลิง(Fire Protection Extinguishers)
9)ระบบแสงสว่าง(Lighting)
10)ระบบลิฟต์ขนส่ง(Elevator)
11)ระบบกำจัดขยะ
1.ระบบโครงสร้างอาคาร (Structure)
- ระบบโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก
ใช้ในส่วนของฐานรากและส่วนที่ติดกับพื้นดิน จะช่วยในการป้องกันความชื้นได้ดี
รวมถึงใช้ในส่วนของห้องน้ำ หรือในส่วนที่ต้องใช้งานระบบสุขาภิบาล
- ระบบโครงสร้าง
Long Span
เนื่องจากโครงการมีการใช้พื้นที่บางส่วนที่มีการใช้พื้นที่บริเวณกว้างจึงต้องคำนึงถึงโครงสร้างที่จะมารองรับในส่วนที่เป็นหลังคา
จากกรณีศึกษามีหลายรูปแบบที่สามารถทำได้ เช่น truss หรือระบบโครงข้อหมุนสามมิติ
2.ระบบปรับอากาศ(Air-Conditioning)
- ระบบปรับอากาศ VRV System หรือระบบ Variable Refrigerant Volume ระบบ ปรับอากาศชนิดนี้
คือระบบปรับอากาศแบบ Split Typeขนาดใหญ่โดยได้คงส่วนดี ของระบบ
Split Type เดิมไว้แล้วเพิ่มความสามารถใหม่ๆเข้าไปในระบบอีกหลาย อย่าง
เพื่อให้ ระบบนี้สามารถทางานอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้งานสะดวก และ ยืดหยุ่นมากขึ้น
กว่าระบบ Sprite Type เดิม มีการพัฒนาให้ท่อน้ำยาเดินไปได้ไกล ขึ้น
3.ระบบสุขาภิบาล(Sanitary)
-
ระบบประปา เป็นระบบ Up Feed System โดยระบบจ่ายน้ำประปาขึ้นจากชั้นล่างของอาคารไปแจกจ่ายทั่วอาคารจนถึงชั้นบนของอาคาร
- ระบบน้ำเสียเป็นระบบ Aerobic Treatment เป็นระบบที่มีความเหมาะสมกับโครงการ มากที่สุด
เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูง ใช้เนื้อ ที่ในการก่อสร้างน้อย โดยเหมาะสม กับอาคารขนาดใหญ่
โดยมีหลักการคือการเติมจุลชีพลงไป เพื่อย่อยสลายอินทรีย์ ในน้ำ เสียที่เป็นตะกอนโดยเครื่องเติมอากาศทางานตลอดเวลาโดยน้ำเสียที่บำบัด แล้วจะไหลลงสู่ท่อสาธารณะ
4.ระบบไฟฟ้ากำลัง(Electricity)
-ระบบไฟฟ้ากำลังแบบ Sub-Station เป็นระบบที่เหมาะสมกับโครงการที่มีขนาดใหญ่ เนื่องจากต้องการใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก
และระบบนี้สามารถซ่อมบำรุงได้ง่าย เพราะ เป็นของเฉพาะที่ใช้ในโครงการ
5.ระบบไฟฟ้าฉุกเฉิน(Emergency
System)
6.ระบบป้องกันฟ้าผ่า(Lighting
Protection System)
7.ระบบสื่อสารโทรคมนาคม(Communication)
- ระบบโทรศัพท์ (Telephone
System) PABX เป็นระบบที่นำมาใช้ภายใน องค์กรของโครงการเนื่องจากเป็นระบบที่เป็นการจำลองชุมสายโทรศัพท์
และ กระจายตามหน่วยย่อยภายในโครงการ ซึ่งจะเป็นการจัดการควบคุมส่วนต่างๆของ โครงการ
และประหยัดกว่าระบบโทรศัพท์ปกติ
- ระบบอินเตอร์เน็ต โดยโครงการจะเป็นการใช้ระบบไร้สาย
Internet-Wireless ซึ่งครอบคลุมในระยะสัญญาณในระยะใกล้
และมีการควบคุมสัญญาณได้ ประหยัด การใช้สายสัญญาณ และการดูแลรักษา
เน้นการใช้งานภายในองค์กร และผู้มา ติดต่อในโครงการ และระบบ Wi-Fi สาหรับการกระจายสัญญาณระยะไกล ครอบคลุมโครงการและบริเวณโดยรอบ โดยควบคุมจากศูนย์บริการโทรคมนาคม สื่อสารของโครงการ
8.ระบบป้องกันอัคคีภัยและระบบดับเพลิง(Fire Protection Extinguishers)
9.ระบบแสงสว่าง(Lighting)
10.ระบบลิฟต์ขนส่ง (Elevator)
11.ระบบกำจัดขยะ
2.4.7.ด้านระบบวัสดุอาคาร
เนื่องจากโครงการนี้ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยซึ่งอยู่ในเขตร้อนชื้น
และมีอุณหภูมิสูงเกือบตลอดทั้งปี สิ่งที่ควรคำนึงในการออกแบบ คือ การลดปริมาณความร้อนที่จะเข้ามาภายในอาคาร
ดังนั้น เพื่อลดปริมาณความร้อนจำเป็นต้องเลือกวัสดุที่จะนำมาใช้กับอาคารที่เหมาะสม
ซึ่งควรมีลักษณะ ในการกันความร้อนได้ดี ไม่เป็นอันตรายกับสิ่งแวดล้อม ราคาประหยัด สวยงามและทนทานต่อสภาวะอากาศ
ได้แบ่งออกเป็นประเภทการใช้งานดังนี้
1) กระจก
กระจกฮีตสต๊อป (Heat Stop) เป็นกระจกที่ใช้ในส่วนที่มีการปรับอากาศ
เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายนอกอาคารช่วยในการลดภาระการปรับอากาศในอาคารได้เป็นอย่างดี
2) ผนัง
- ผนังระบบกันความร้อนภายนอก (EIFS)
ผนังระบบ EIFS มีการใช้ฉนวนประเภทโฟม
ไฟเบอร์กลาส และระบบเคลือบกันความเสียหายจากความร้อนและความชื้นด้านนอกอาคารไว้โดยรอบ
และยังมีน้ำ หนักเบาทำให้ทางานได้ง่าย จุดเด่นของระบบผนัง EIFS คือ เมื่อนำไปใช้กับผนังภายนอกอาคารแล้วสามารถป้องกันการแตกร้าวได้ดีมาก
อีกทั้งวัสดุที่ใช้เคลือบภายนอกก็เป็นสารผสมทรายที่กันรังสี UV ได้ดี มีสารซึ่งทำหน้าที่ป้องกันผนังจากรอยร้าวและความชื้น ทำให้ผนังมีสภาพคงทนสวยงาม
จะใช้กับผนังในส่วนทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
- ผนังก่ออิฐฉาบปูน 2 ชั้นมีช่องอากาศ
ผนังนี้คล้ายกับผนังก่ออิฐฉาบปูน2ชั้นชั่วไป
แต่ป้องกันความร้อนได้ดีกว่า
เนื่องจากมีช่องว่างระหว่างผนังจะช่วยเป็นฉนวนให้กับผนัง
นำไปใช้กับทุกส่วนของอาคาร
3) พื้น
ถ้าบริเวณโดยรอบอาคารมีการปรับแต่งสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมและมีอุณหภูมิดินที่เย็นแล้ว
สามารถเลือกใช้วัสดุพื้น ที่ดึงเอาความเย็นจากดินมาใช้ในอาคาร ทำให้ผิวของพื้นของอาคารนั้นมีอุณหภูมิต่ำกว่าผิวกายของมนุษย์และเกิดการแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างผิวกายกับสภาพแวดล้อมทำให้รู้สึกเย็นกว่าปกติ
ซึ่งเป็นการใช้ของการถ่ายเทความร้อนระหว่างตัวคนกับสภาพแวดล้อมเทคนิคของการทำผิวของสภาพแวดล้อมให้เย็นนี้
เป็นเอกลักษณ์ที่
พบได้ในสถาปัตยกรรมไทย วัสดุพื้น
ชนิดอื่น ๆ ก็สามารถนามาใช้ในอาคารได้ ถ้ามีความเข้าใจใน
คุณสมบัติของวัสดุ และนาไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
เช่น
- ไม้ มีคุณสมบัติเป็นฉนวนในระดับหนึ่ง
ถ้านำมาใช้กับพื้นชั้นล่างจะลดค่าการนำความร้อนจากดินลงไปมากทำให้สูญเสียความรู้สึกเย็นจากสภาพแวดล้อมลงไปเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้หินชนิดต่าง
ๆ
-
หินแกรนิตมีความคงทนแต่ให้ความรู้สึกที่แข็งกระด้างเหมาะกับการใช้งานในบริเวณพื้น
นอกอาคาร
- กระเบื้องเคลือบ มีความคงทน
และดูแลรักษาง่าย จะใช้ในส่วนของห้องวิจัย
4) วัสดุมุงหลังคา
-
เมทัลชีท
เป็นแผ่นโลหะรีดลอน มีคุณสมบัติที่เป็นแผ่นยาวลดปัญหาการรั่วซึมของน้ำได้ดี
เพราะไม่มีรอยต่อระหว่างแผ่นมากเหมือนกระเบื้อง ทำให้มีความทนทานมากกว่า
ในการติดตั้งจะต้องติดตั้งจะต้องมีฉนวนกันเสียงและกันร้อนบริเวณใต้แผ่นหลังคาเพื่อช่วยลดความร้อนเข้าสู่อาคาร
จะให้ในส่วนของอาคารสัมมนาและร้านอาหาร
- Green roofs ที่หมายถึง หลังคาที่เป็นสีเขียวจากการมีพืชพันธุ์
ปก
คลุมอยู่ข้างบนไม่ว่าจะเป็นพืชพรรณในลักษณะพืชคลุมดิน
ไม้เลื้อย
หรือลักษณะใดๆก็ตามเน้นคำนึงผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมโดยตรง
นอกเหนือไปจากการสร้างสภาวะสบายและการลดการใช้พลังงาน
ของอาคาร ใช้ในส่วนของอาคารวิจัยซึ่งอาจแบ่งได้เป็น
2 ประเภท คือ
- Green roofs ที่เป็นสวนหลังคา (Roof
garden)
สามารถออกมาใช้สอยพื้นที่ได้
- Green roofs ที่เน้นการปลูกพืชพันธุ์บนหลังคาไม่ได้เน้นที่
ประโยชน์ใช้สอย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น